“ALLA” ทำกำไรปี 60 ที่ 57.54 ลบ. แจกปันผล 0.07 บ. ตุน Backlog 301 ลบ.
“ALLA” ทำกำไรปี 60 ที่ 57.54 ลบ.
แจกปันผล 0.07 บ. ตุน Backlog 301 ลบ.
“ออลล่า” ทำกำไรสุทธิปี 60 ที่ 57.54 ลบ. พร้อมแจกปันผลหุ้นละ 0.07 บาท ขึ้น XD 3 พ.ค. 61 โชว์ Backlog กว่า 301 ลบ. สูงกว่าปีก่อน 34% เปลี่ยนแผนย้ายคลังสินค้าปรับปรุงโรงงานเดิมเพิ่มกำลังผลิต ลดเม็ดเงินลงทุน ย้ำแผนบุกอินโดฯชัดเจนปีนี้
นายองอาจ ปัณฑุยากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล่า จำกัด (มหาชน) หรือ ALLA ผู้ผลิต จำหน่าย และติดตั้งเครน และรอกไฟฟ้า รวมถึงอุปกรณ์ขนถ่ายวัสดุอุปกรณ์ และสินค้าในโรงงานอุตสาหกรรม และคลังสินค้าต่าง ๆ เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯประจำปี 2560 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 57.54 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทฯมีรายได้รวมอยู่ที่ 620.96 ล้านบาท โดยบริษัทฯได้มีมติในการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นจำนวน 0.07 บาทต่อหุ้น โดยมีกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 3 พ.ค.2561 โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 18 พ.ค. 2561
ในขณะที่ในปัจจุบันบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีมูลค่างานที่ยังไม่ได้ส่งมอบ ณ เดือนธันวาคม 2561 มูลค่าประมาณ 301 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2559 จำนวน 77 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มสูงขึ้น 34% ซึ่งงานที่ยังไม่ได้ส่งมอบดังกล่าวจะทยอยรับรู้รายได้ ตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ของปี 2561 เป็นต้นไป โดยบริษัทฯคาดว่าแนวโน้มของผลประกอบการในปี 2561 มีโอกาสปรับตัวดีขึ้นหลังจากปริมาณงานเครน และรอกไฟฟ้า รวมถึงประตูอุตสาหกรรมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน และการลงทุนในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ในขณะเดียวบริษัทฯยังคงแผนการขยายธุรกิจในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งคาดว่าจะสามารถเห็นควาชัดเจนได้ภายในปีนี้
ทั้งนี้บริษัทฯได้ปรับแผนการลงทุนสำหรับการขยายโรงงานแห่งใหม่ในจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมีแผนที่จะย้ายคลังสินค้าของบริษัทฯบางส่วนไปที่คลังสินค้าแห่งใหม่ของบริษัทย่อย ซึ่งจะเป็นผลให้บริษัทฯ จะมีพื้นที่ในการผลิตมากขึ้น บริษัทฯจึงเปลี่ยนแปลงแผนการใช้เงินทุน จากเดิมมีแผนที่จะซื้อที่ดินเพื่อขยายโรงงานของบริษัทฯที่ตำบลเกาะไร่ อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นการปรับปรุงพื้นที่การใช้งานโรงงานโดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการในไตรมาสที่ 2 ของปี 2561 และคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 1 ของปี 2562 ซึ่งจะทำให้บริษัทฯลดมูลค่าการลงทุนได้กว่า 23 ล้านบาท
“ผลการดำเนินงานของเราในปีที่ผ่านมามีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเฉพาะรายได้จากการขาย และบริการที่เพิ่มสูงขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขาย และบริการของประตูอุตสาหกรรม และสะพานปรับระดับ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจประเภท Logistic Hypermarket และกลุ่มเกษตร และอาหาร ส่วนการปรับแผนการลงทุนนั้น บริษัทฯเล็งเห็นโอกาสในการประหยัดต้นทุน และความระมัดระวังการใช้เงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด เหมาะสมกับโอกาส และสถานการณ์ เพื่อรักษาต้นทุนไม่ให้เพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็นในอนาคต” นายองอาจกล่าว