“เคเจแอล” สู่ปีที่ 31 พร้อมก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 รุกตลาดสากล วางเป้ารายได้แตะ 1,000 ลบ.ในปี 63
“เคเจแอล” สู่ปีที่ 31 พร้อมก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0
รุกตลาดสากล วางเป้ารายได้แตะ 1,000 ลบ.ในปี 63
“กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค” ก้าวสู่ปีที่ 31 พร้อมก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ด้วยนวัตกรรมล้ำสมัย กางแผนรับอานิสงส์เปิด EEC เดินหน้าขยายตลาดระดับสากล วางเป้ารายได้แตะ 1,000 ลบ.ภายในปี 63
นายการุณย์ สุจิวโรดม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด หรือ KJLหนึ่งในผู้นำทางด้านอุตสาหกรรมการผลิต ตู้ไฟ รางไฟ “เคเจแอล” และงานสั่งทำพิเศษ ด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัย เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯได้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 31 พร้อมเป็นหนึ่งในผู้นำผู้ผลิตตู้ไฟ และรางไฟ รวมถึงสินค้าสั่งทำพิเศษ หรือ OEM ครบวงจร ด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัย พร้อมก้าวสู่อุตสาหกรรมในยุค 4.0 อย่างเต็มรูปแบบ โดยบริษัทฯได้เดินหน้าพัฒนากระบวนการผลิตด้วยเครื่องจักร และนวัตกรรมที่ทันสมัย ซึ่งในปัจจุบันบริษัทฯได้ใช้เครื่องจักรในกระบวนการผลิตที่ทันสมัยจากประเทศญี่ปุ่น และเป็นเครื่องจักเครื่องแรกที่ทันสมัยที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงเทคโนโลยี และนวัตกรรมเครื่องจักรจากประเทศเยอรมันนี
ทั้งนี้บริษัทฯมีแผนในการขยายโรงงาน ลงทุนเครื่องจักรในการผลิต รวมถึงปรับปรุงกระบวนการผลิต ด้วยงบลงทุนปีละประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อให้สามารถเพิ่มปริมาณสินค้า และเพิ่มผลิตภัณฑ์ให้ตอบสนอง และตรงกับความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น รองรับการขยายตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อีกราว 2 ล้านชิ้นต่อปี จากในปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 15 ล้านชิ้นต่อปี
“จากประสบการณ์อันยาวนานในอุตสาหกรรมตลอด 30 ปีที่ผ่านมาของทีมผู้บริหารพนักงาน และทีมงานทุกฝ่ายที่มีความเชี่ยวชาญ พร้อมที่จะผลิตสินค้า และให้บริการที่มีคุณภาพ ตรงต่อความต้องการ พร้อมส่งถึงมือลูกค้าอย่างรวดเร็ว และตรงต่อเวลา ซึ่งตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา KJL ไม่เคยหยุดพัฒนาสินค้า และบริการ และที่สำคัญคือการเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมในการผลิตอย่างต่อเนื่อง ทำให้สินค้า KJL มีความถูกต้องแม่นยำ ทำให้ KJL คือ ผู้นำตลาดด้านตู้ไฟ รางไฟ ที่มีกำลังการผลิตสินค้าสูงสุดในประเทศไทย” นายการุณย์กล่าว
นายเกษมสันต์ สุจิวโรดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด หรือ KJL เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนที่จะขยายตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยบริษัทฯยังคงมุ่งเน้นในการขายสินค้าผ่านตัวแทนจำหน่าย หรือ ดีลเลอร์ เหมือนที่ผ่านมา แต่จะขยายสินค้าในส่วนที่เป็น Vendor List ให้เพิ่มสูงขึ้น ด้วยการเพิ่มเติมผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย ตรงกับความต้องการของลูกค้า และเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า รวมถึงขยายผลิตภัณฑ์ไปยังกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี และนวัตกรรมมากยิ่งขึ้น เช่น ตู้เติมเงิน ตู้เติมน้ำมัน หรือ KIOSK ต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งบริษัทฯคาดว่าแนวโน้มของมูลค่าการลงทุนด้านอุตสาหกรรมของประเทศไทยจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากปีนี้ จากปัจจัยสำคัญในการเปิดเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ หรือ EEC ที่จะเริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านยานยนต์จากประเทศญี่ปุ่นที่บริษัทฯคาดว่าจะเป็นอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ เนื่องจากจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะผู้ผลิตจากประเทศญี่ปุ่น
ในขณะที่แผนการขยายตลาดในต่างประเทศบริษัทฯอยู่ในระหว่างพิจารณาแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศเมียนมาร์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีแนวโน้มในการลงทุน และเติบโตของภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถเห็นความชัดเจน และได้ข้อสรุปภายในปี 2561 รวมถึงบริษัทฯอยู่ในระหว่างเจรจาพันธมิตรทางธุรกิจระดับโลกจากประเทศญี่ปุ่นในการร่วมทุนทางธุรกิจ โดยเป็นผู้ผลิตที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักของบริษัทฯ ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพในการขยายตลาดไปยังระดับนานาชาติได้ โดยคาดว่าจะสามารถเห็นความชัดเจนได้ภายในปี 2561 ทำให้บริษัทฯคาดว่ารายได้รวมจะแตะที่ระดับ 1,000 ล้านบาท ภายในปี 2563 จากในปีนี้ที่คาดว่ารายได้รวมจะอยู่ที่ 700 ล้านบาท
“เรามีเป้าหมายในการขยายไลน์ผลิตสินค้าให้มีความหลากหลาย เพื่อขยายฐานลูกค้าทั่วประเทศให้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ หรือ EEC ที่คาดว่าจะมีเม็ดเงินจากทั้งในประเทศ และต่างประเทศเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งบริษัทฯก็มีความพร้อมในการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มดังกล่าว รวมถึงการยกระดับไปสู่ตลาดระดับนานาชาติ ซึ่งจะถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการเติบโตของธุรกิจ อย่างมั่นคงในอนาคต” นายเกษมสันต์กล่าว